 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
|
Can the most famous film star in the world fall for the man in the street?
|
|
|
|
นั้นคือ คำโปรยบนใบปิดของภาพยนตร์เรื่องนี้ จนผมถึงกับต้องลองถามตัวเอง ว่า
นั้นน่ะสินะ เป็นไปได้หรือ ภาพยนตร์จากบทของ Richard Curtis จาก Four Weddings And A Funeral ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ระหว่าง แอนนา (Julia Roberts) ดาราฮอลลิวู้ด กับ วิลเลี่ยม (Hugh Grant) คนขายหนังสือ
ท่องเที่ยวเล็กๆ ในน็อตติ้ง ฮิลล์ ที่ผมว่าเหมือนกับ ตั้งคำถามกับผู้ชมว่า เมื่อคนเรามีความรู้สึกที่ดี ต่อกันแล้ว ความรักยังต้องการ จังหวะและเวลา ที่เหมาะสมไหม? รวมไปถึงเลิกมองถึง
ความแตกต่าง ถ้าเราจะรักกัน ทำไมจะต้องแคร์ใคร(ชาวบ้าน)? |
|
|
|
แอนนาเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ต้องการความรักจริงเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งทั่วไป
เธอไล่ไขว่คว้าหาความรัก ขณะที่วิลเลี่ยมเป็นม่าย ที่พึ่งร้างลากับภรรยา ก็เหมือนคนที่เคยมีประสบการณ์ความรักที่ไม่ดีมาก่อน |
|
|
|
หลังจากที่เธอเริ่มชอบเค้าจากการที่เค้าคอยเอาใจใส่เธอ จนเธอถึงกับจูบตอบ และนั้นเป็นการเริ่มต้น เปิดประตูหัวใจของทั้งคู่ จนเกิดเหตุการณ์ชวนขันต่างๆ ตามมา |
|
|
|
แอนนาเปิดโอกาสที่จะรู้จักวิลเลี่ยมหลายครั้ง แต่ดูเหมือนเค้าก็ยังกล้าๆกลัวๆ
อยู่ ไม่ว่า |
|
|
|
แต่เค้ากลับเดินเลี่ยงออกไป |
|
|
เธอชวนเค้ามานั่งเก้าอี้ในสวนด้วยกัน |
|
|
|
|
|
โทรศัพท์หาเค้า ชวนเค้าขึ้นไปบนห้อง, ไปอยู่บ้านเค้า แล้วคืนนั้นยังลงมาหา
ที่ชั้นล่าง (โอ้ .อยากมีอย่างนี้บ้างจัง.) จูบเค้าก่อนเสมอ ขอความรักจากเค้า |
|
|
|
ส่วนเค้าจูบเธอก่อนแค่สองครั้งเท่านั้น ในฉากที่เค้าเธอขึ้นไปบนห้อง และตอนที่
มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันที่บ้าน |
|
|
หนังสื่อถึงความความแตกต่างระหว่างทั้งคู่นอกจากอาชีพแล้ว ความเป็นอยู่ ที่วิลเลี่ยมเอ่ย Beverly
Hill กับ Notting Hill ดารารายได้ 15 ล้านเหรียญต่อเรื่อง กับคนขายหนังสือที่มีวิถีชีวิตแบบชนชั้นกลาง สถานะที่แตกต่างของทั้งคู่ ที่สื่อออกมาทางภาพ ไม่ว่าฉากที่เค้า
มองเห็นรถเมล์ที่มีโฆษณาภาพยนตร์ที่เธอแสดง ที่เปรียบเหมือนเธอเป็นคนที่ใครๆก็รู้จัก ไม่หยุดนิ่ง เคลื่อนไหวตลอดเวลา ไม่ต่างจากฉากหมามองเครื่องบิน หรือฉากที่เค้า นั่งชมภาพยนตร์
ในโรงที่ตกแต่งแบบโบราณ แต่กลับฉายภาพยนตร์อวกาศ พร้อมเธอในชุดสูญญากาศ |
|
|
|
เราจะเห็นว่า ทั้งคู่น่าลงเอยไปด้วยกันตั้งนานแล้ว ถ้าทุกอย่างลงตัว ไม่ว่าตอนที่เแอนนา
ชวนวิลเลี่ยม ขึ้นไปบนห้องแต่เจอแฟนอเมริกัน (Alec Baldwin) ที่เดินทางมาทำเซอร์ไพร์ซ หรือตอนที่ทั้งคู่ใช้เวลาด้วยกันที่บ้านวิลเลี่ยม ก็ยังมีสื่อมวลชนมาขัดขวาง หรือแม้เค้าจะตามไปหาเธอที่กองถ่าย
ที่มีม้าเข้าฉากเต็มไปหมด เธอก็ยังติดถ่ายทำ จนเค้าเผลอไปได้ยิน คำที่ทิ่มแทงใจ เลยไปจนถึงฉากที่เธอไปขอคืนดีกับเค้า ที่ร้านหนังสือ เค้ากลับปฏิเสธ
เพราะไม่อยากเจ็บอีก |
|
|
|
ซึ่งดูเหมือนจังหวะและเวลาที่เหมาะสมจะไม่เกิดแน่ หากเค้า(และเรา) มัวแต่รอโอกาส
นอกจากตัดสินใจทำเวลาปัจจุบัน เลิกเป็นเด็กวิ่งไล่จับ แล้วจังหวะและเวลามันจึงเกิด จงอย่ารอโอกาส ฉวยโอกาส |
|
|
|
เค้าและเธอสบตา ยิ้มให้กัน ท่ามกลางแสงแฟลชของนักข่าวและสื่อมวลชน
เหมือนกับว่า เมื่อเวลานั้นมาถึง เปิดใจให้แก่กัน จะรักกัน ก็ไม่ต้องแคร์ใครอีกแล้ว |
|
|
|
เมื่อทั้งคู่ยิ้มให้กัน โดยไม่แคร์ชาวบ้าน สวนส่วนบุคคลก็ไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป
เค้าทั้งคู่ จับมือเกาะเกี่ยวกัน ที่เก้าอี้ ท่ามกลางผู้คนที่เดินไปหา |
|
|
|
นอกจากนี้รักทำให้คนเข้าใจกัน ทำให้ลืมความเจ็บปวดต่างๆได้ เห็นได้ชัดระหว่าง
ความรักของคู่เพื่อนวิลเลี่ยม ที่แม้จะขาพิการ มีลูกไม่ได้ แต่ก็ดูมีความสุข |
|
|
|
ผมชอบฉากที่วิลเลี่ยมเดินฝ่าฤดูต่างๆ เค้าแสดงวันเวลาที่หมุนไป ด้วยฉากเพียงฉากเดียว
ตั้งแต่หญิงท้อง จนเด็กคลอด รักที่มี เริ่ม รัก ร้าง ลา ท่ามกลางเพลง Ain't No Sunshine |
|
|
|
เสน่ห์อีกอย่างของภาพยนตร์ ที่เห็นจากหนัง คือ
วิถีชีวิตแบบชนชั้นกลาง ชาวอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นชา ที่วิลเลี่ยมจะชวนดื่มตลอด นสพ.แทบลอยด์ สื่อมวชนอังกฤษ(ที่โดนด่าไปเต็มๆ) การพูดจาเสียดสี จนถึงผับที่คนอังกฤษ
ชอบเข้าไปดื่ม(จนสไปค์ไปหลุดปาก) ความสัมพันธุ์ระหว่างเพื่อนพ้อง (ที่แอนนาก็น่าจะประทับใจไม่หยอก) |
|
|
|
แต่ที่เดิมๆ คงเป็นโครงสร้างของเรื่อง ลักษณะตัวละคร
ที่แทบจะเหมือนกับเรื่องก่อน ไม่ว่าเป็นเรื่องหนุ่มอังกฤษ สาวมะกันที่ตามหารัก ซึ่งผมไม่ทราบว่า นาย Curtis มีอะไรฝั่งใจกับสาวเมืองลุงแซมนัก |
|
|
|
นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า หนังที่ดีเริ่มมากจากบทที่ดีก่อน
แล้วงานกำกับก็ง่ายขึ้นไปเอง ซึ่งผู้กำกับ Roger Michell ก็นำเสนอออกมาได้ดี บทของ Custis บอกเล่าเรื่องไว้อย่างน่าติดตาม ตลก โดยผ่านไดอะลอกซ์ที่ชวนขันแต่ กัดเจ็บตามสไตล์
มีที่กัดเล็กกัดน้อย แล้วฮากลิ้งไม่ว่า เรื่องคนมาซื้อหนังสือที่ แทบไม่รู้ ทั้งประเภทหนังสือ และผู้แต่งเลย หรือที่สไปค์ปล่อยไก่ บอกว่าเคยมีเพื่อนหญิงชื่อ Pandora แต่ไม่ยักรู้ว่าเธอมีหีบ (Pandora's box
เป็นเรื่องที่วิลเลี่ยมเปรียบเปรย ซึ่งเป็นนิทานปรัมปราของฝรั่งที่เมื่อหีบถูกเปิด ความชั่วจะหลุดออกมา) และที่ท้องขัดท้องแข็งก็เรื่องเกี่ยวกับนายลีโอ กับก้นของคุณเมล
ที่เล่นเอาฮากันทั้งโรง และไม่วายกัดฮอลลิวู้ดในหลายๆฉาก |
|
|
|
ส่วนการแสดงคุณฮิวจ์ ก็สอบผ่าน เดินหลังคร่อมๆ ท่าทางไม่มั่นใจ
ซึ่งดูเหมือนผู้ชายทั่วไป และก็แทบเป็นบทเดียวกับ Four Weddings ส่วนคุณจูแค่ฉากขอกินบราวนี่ ที่โต๊ะอาหาร กับฉากที่เธอขอความรักจากพระเอก ก็กินนิ่มแล้ว ถ้าเรื่องนี้เธอได้ค่าตัว 15 ล้าน คงต้องบอกว่า
ก็สมน้ำสมเนื้อดี ส่วนนักแสดงประกอบในกลุ่มเพื่อนๆ นั้นก็แสดงกันได้ดีทุกคน แต่ที่ดูมีสีสันหน่อย คงไม่พ้น สไปค์ที่แสดงโดย Rhys Ifans ที่โผล่แต่ละที คนก็เตรียมฮา |
|
|
|
ตอนหนังเลิก ผมได้ยินกลุ่มนักศึกษาหนุ่มสาวคุยกันว่า "หนังอะไรวะ
แ-่งโคตรน้ำเน่าเลย" ส่วนผมก็เดินก้มหน้าก้มตาแล้วนึกในใจว่า "Surreal but nice" |
|
|
|
เวบไซต์อย่างเป็นทางการ www.universalpictures.com/nottinghill |
|